คนที่ขับรถทั้งหล า ย ควรจะทราบสัญญาณไฟที่แจ้งเ ตื อ นอยู่บนหน้าปัดรถของคุณ เพราะมันกำลังบ่งบอ กถึงความผิ ดปกติบางอ ย่ างขึ้นในรถของคุณ เพื่อที่จะได้ทราบและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะกล า ยเป็นปัญหาใหญ่ขึ้น เรามาเรียนรู้กันดีกว่า ว่าสัญญาณที่ปรากฏขึ้นแต่ละอ ย่ าง มันบ่งบอ กถึงอะไร
1. สัญญาณถุงลมนิรภั ย
สัญญาณนี้ เป็นการเช็คถุงลมนิรภั ยของระบบตัวรถ จะขึ้น มาค้างประมาณ 5 วินาทีหลังสต าร์ทรถ แต่ถ้าหลังจากสต าร์ทเครื่องแล้วยังไม่ ยอมห า ย นั่นหมายถึงถุงลมนิรภั ยอาจจะไม่ทำงาน ควรเอารถเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบการทำงาน เพื่อความปลอ ดภั ยในการใช้รถ หากเกิดเหตุฉุ ก เ ฉิ ก
2. สัญญาณไฟรูปปรอทมีขีดระดับน้ำ
หากขึ้นสัญญาณนี้ หมายถึง การเ ตื อ นเ รื่ อ งความผิ ดปกติของระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เช่น พัดลมหม้อน้ำไม่ทำงาน น้ำย า หล่อเย็นข า ด หรือ รั่ว เป็นต้น ควรที่จะตรวจสอบรถของคุณโดยเร็ว ไม่ควรฝืนใช้รถต่อ เพราะอาจจะทำความ เ สี ย ห า ย อ ย่ างหนักให้เครื่องยนต์ได้
3. สัญญาณแบตเตอรี่ ขั้วบวก ขั้วลบ
หากเห็นสัญญาณนี้ หมายถึง ไดร์ชาร์จทำงานผิ ดปกติ เช่น ไดร์ชาร์จเสี ย ไม่ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ หรือ ไม่มีการจ่ายไฟเข้าใช้งานใน ระบบรถยนต์ เมื่อใช้ไปเรื่อยอาจทำให้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดในรถยนต์ไม่ทำงาน ดังนั้นควรตรวจเช็ครถให้ดี
4. สัญญาณไฟรูปตู้จ่ายน้ำมัน
หากเห็นสัญญาณนี้ แน่นอนว่าทุกคนเข้าใจได้อ ย่ างแน่นอนว่า เป็นการเ ตื อ นว่าน้ำมันกำลังอยู่ในระดับต่ำ ให้เติมน้ำมันก่อนที่จะหมด โดย ส่วนใหญ่จะสามารถวิ่งต่อได้อีกประมาณ 40-100 กิโลเมตร และสัญลักษณ์รูป สามเหลี่ยมเล็ก ด้านข้างถังนั้น ช่วยบ่งบอ กว่าฝาถังน้ำมันอยู่ด้านไหน เวลาเข้าปั้มเติมน้ำมันจะได้จอ ดถูกฝั่งจ่ายน้ำมัน
5. สัญญาณไฟเครื่องหมายตกใจกลางวงกลม หรือ เบรค
จะมี 2 กรณี คือ เมื่อมีการดึงเบรกมือ หรือลดเบรกมือยังไม่สุด จะทำให้สัญลักษณ์นี้ติดขึ้น มา แต่ถ้าหากลดเบรกมือแล้วยังไม่ห า ย คง ต้องตรวจสอบระบบเบรก โดยดูระดับน้ำมันเบรกเป็นสิ่งแรก เพราะโดยปกติแล้วสัญญาณนี้จะแจ้งเมื่อน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับปกติ แต่บางรุ่นจะแยกกันระหว่างระบบเบรกกับเบรกมือไว้แยกจากกัน
ที่มา kiddpan