สิ่งที่คนขับรถควรรู้ไว้ หากรถชนจะทำอ ย่ างไร เพื่อไม่ให้เ สี ยสิทธิ์

ทุกวันนี้ทุกอ ย่ างดูเป็นการรีบเร่งแข่งขันกัน ซึ่งการใช้รถประจำทางอาจจะไม่ค่อยทันใจคนในยุคสมัยนี้ จึงเกิดการใช้รถส่วนตัวกัน มากในการเดินทาง เมื่อความเร่งรีบจึงอาจจะทำให้เกิดอุ บั ติ เ ห ตุขึ้น

นั้นคือ การชนกันเกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งเชื่อว่าหล า ยคนนั้นอาจจะยังไม่รู้ประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อรถตัวเองนั้นถูกชน ดังนั้นวันนี้เรามีความรู้ดีๆที่นำมาฝากถึงคน มีรถกัน จะเป็นอ ย่ างไรเราไปดูพร้อมๆกันเลย

ในยุคที่การขนส่งสาธารณะยังไม่สะดวกและเข้าไม่ถึงในทุกพื้นที่ การมีรถเป็นของตนเองแทบจะเป็นหนึ่งในปัจจัยการดำเนินชีวิตกันเลยทีเดียว ถือเป็นแขนขาที่ทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น และการมีรถก็ต้องมาควบคู่กับการทำประกันเพื่อป้องกันในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น มา

ถ้าหากรถของเราถูกชนขึ้น มาแล้วเรานำรถไปเข้าอู่เพื่อซ่อม แล้วไม่มีรถที่จะใช้เดินทางไปไหน มาไหน เพราะต้องรอ กว่าอู่จะซ่อมเสร็จรู้หรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าเ สี ยเวลาที่ใช้ในการเดินทางที่ว่านั้นสามารถเรียกเก็บจากประกันได้เหมือนกัน เป็นเรื่องเล่าของน้องคนหนึ่งที่สนิท พี่ก็พึ่งรู้ว่าเราสามมรถเรียกเงินคืนจากประกันได้ และได้รับเงินค่าข า ดประโยชน์จากการใช้รถ

สรุปคร่าวๆ คือ คปภ. หรือสำนักงานคณะก ร ร มการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภั ย เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ มีฐานะเป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ ดำเนินงานต ามนโยบายที่กำหนดโดยคณะก ร ร มการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภั ยได้ออ ก

หลักเกณฑ์คุ้มครองผู้ขับขี่รถว่าหากประสบเหตุแล้วเป็นฝ่ายถูก สามารถทำหนังสือพร้อมส่งเอกสารหลักฐานแจ้งความประสงค์ ขอเรียกร้องค่าข า ดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างรอซ่อมได้ ทั้งนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำค่าข า ดประโยชน์จากการใช้รถ 3 กลุ่ม ได้แก่

1 รถยนต์เกิน 7 ที่นั่ง ได้ไม่น้อยกว่าวันละ 1000 บาท

2 รถยนต์รับจ้างสาธารณะไม่เกิน 7ที่นั่ง ได้ไม่น้อยกว่าวันละ 700 บ.

3 รถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง ได้ไม่น้อยกว่าวันละ 500 บ.

ซึ่งในกรณีของเรานี้อยู่ในเกณฑ์ข้อ 1. เรียกวันละ 600 บ คูณ 37 วัน เป็นเงิน 22200 บาท โดยในจดหมายได้พิมพ์ส่งถึงประกันได้ระบุชัดเจนว่า อัตราที่เรียกอยู่ในหลักเกณฑ์ของ คปภ. กำหนด และสอ ดคล้องกับ

ลักษณะของการทำงานที่ใน1วันต้องเดินทางพบลูกค้าหล า ยที่ และมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงขึ้นกว่าปกติเป็นอ ย่ างมากค่ะ ในจดหมายมีรายละเอียดชี้แจงมากกว่านี้ เมื่อนำเอกสารและหลักฐานทั้งหมดไปยื่นที่บริษัทประกันด้วยตนเองจะมีเจ้าหน้าที่มารับเรื่อง และทำการเจรจาต่อรองกับเรา

เหตุการณ์ที่ 1 โดนต่อรองเหลือแค่ 15000 บาท พี่ก็เลยถามไปว่าคิดจากหลักเกณฑ์อะไรคะ แบบนี้ไม่โอเค ขอเรียกต ามที่แจ้งในจดหมายค่ะ

เหตุการณ์ที่ 2 โดนต่อรองจำนวนเงินต่อวัน และจำนวนวันเหลือแค่ 30 วัน ไม่นับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ถามว่ายอมมั้ย เรายอมแค่ครึ่งทาง คือขอเรียกวันจันทร์ ถึง เสาร์ เพราะเป็นวันทำงานปกติ ให้ยกเว้นแค่วันอาทิตย์เท่านั้น และขอนับวันต ามปฎิทิน ไม่ขอใช้เครื่องคิดเลขบวกลบ เพื่อความถูกต้อง สรุปจบที่ 32 วัน คูณ 600บ/วัน = 19200 บ

เหตุการณ์ที่ 3 ประกันขอจ่าย 18000 บ ก็เลยตอบไปว่าไม่ตกลง เพราะในความเป็นจริงต้องเ สี ยเงินไปกับค่าเดินทางมากกว่าที่เรียกร้องไป เ สี ยทั้งเวลา เ สี ยทั้งความรู้สึก เ สี ยจิตไปกับรถที่ไม่เหมือนเดิม อ ย่ าเอาเปรียบกันเลยค่ะ ถ้าเลือ กได้ไม่มีใครต้องการโดนชนแล้วมานั่งเรียกร้องค่าสินไหมแบบนี้

เหตุการณ์ที่ 4 เรายื่นข้อเสนอไปเอง ลดให้ 200 บาท ขอจบที่ 19000 บาท ถ้าไม่อ ย่ างนั้นก้อขอไปหาข้อสรุปที่ สำนักงาน คปภ ค่ะ สรุปว่าจบที่ เหตุการณ์ที่ 4 จบที่ 19000 บาท ค่ะ ใช้เวลา 10 วันก็ได้รับเงินค่ะ

โดยเอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่

สำเนาใบเคลม สำเนาใบรับรถจากอู่ที่ซ่อมรถ ซึ่งเขาจะต้องลงวันที่ว่ารับรถวันไหน สำเนาทะเบียนรถ ถ้าติดไฟแนนซ์ ต้องมีสำเนาสัญญาไฟแนนซ์ สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ จดหมายขอค่าข า ดประโยชน์ รูปถ่ายสภาพความเ สี ยห า ยของรถ สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลถ้ามีเปลี่ยน สำเนาบุ๊คแบงค์ที่ต้องการให้ประกันโอนเงินให้

การนำมาเล่าในวันนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์และเป็นตัวอ ย่ างให้กับคนอื่นๆที่มีรถแต่ยังไม่รู้ถึงสิทธิ์ที่เราควรจะได้รับในเรื่องนี้ สำหรับใครที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็อ ย่ าลืมทำเรื่องเพื่อรั ก ษ าสิทธิ์ของเรากันด้วยนะ

ที่มา  postsod