หากพูดถึง AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เมื่อหล า ย 10 ปีก่อน คงยังเป็นเรื่องไกลตัวของใครหล า ยๆ คน และคิดว่าเป็นไปได้ย ากกว่า AI จะเข้ามามีบทบ า ทในชีวิตของคนทั่วไป ทว่า ในเวลานี้ AI กลับเป็นสิ่งที่อยู่ในมือถือ ของทุกคน และแทบไม่จะอย ากวางมันลง โดยเฉพาะเวลาที่คุณกำลังต้องการตัวช่วย
ความสะดวกสบายที่ย ากจะปฏิเสธ กล า ยเป็นแรงดึงดูดให้ AI เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของเราทุกคนโดยไม่รู้ตัว และเป็นแ ร งจูงใจให้องค์กรต่างๆ เร่งพัฒนานวัตก ร ร มเหล่านี้ให้ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด ทำให้อ ดคิดไม่ได้ว่า ถึงวันที่ AI พัฒนาจน มีความสามารถใกล้เคียงมนุษย์แล้ว มันจะช่วยมนุษย์ทำงาน หรือจะทำให้ตกงานกันแน่
AI (Artificial Intelligence) กล า ยเป็นสิ่งที่คนพูดกัน มากขึ้นแทบทุกวงการ เพราะนับวันความฉลาดของ AI ก็เริ่มน่ากลัวมากขึ้นทุกที มันสามารถทำอะไรต่ออะไรที่ก่อนหน้านี้เราไม่คาดคิดว่ามันจะทำได้
ยิ่งถ้าเห็นความสามารถของ AI ในขณะนี้แล้ว สิ่งที่ใครหล า ยคนเป็นกังวลก็ใกล้ความจริงมากขึ้น มาทุกที คือ AI จะเข้ามาแย่งงาน มนุษย์ เร็วที่สุดก็ภายใน 5-10 ปีนี้ และคาดว่าจะแทนที่อ ย่ างเต็มรูปแบบในอีกไม่เกิน 20 ปี
ส่วนลักษณะงานที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูก AI เข้ามาแทนที่ คือ ลักษณะงานที่ทำแบบกิจวัตร ทำซ้ำ ๆ วน ๆ ทุกวัน เพราะหัวใจการทำงานของ AI คือ การที่ผู้ใช้ใส่ข้ อมูลให้มาก ๆ ในหลากหล า ยรูปแบบจน มันสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานในลักษณะนั้นได้
เมื่อมันเรียนรู้แล้ว ก็จะทำวนไปต ามรูปแบบซ้ำ ๆ เดิม ๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น หากไม่อย ากโดน AI แย่งงานจนกล า ยเป็นคนตกงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแล้วล่ะก็ เราควรที่จะต้องปรับตัว แล้วเราจะทำอ ย่ างไรดีล่ะ เรามีคำแนะนำ
1. ฝึกทำอะไรให้ได้มากกว่าหนึ่งอ ย่ าง
เป็นปกติขององค์กร ที่ในใจลึก ๆ เขาก็อย ากให้บุคลากรทำงานได้มากกว่า 1 อ ย่ าง ต้องไม่ลืมว่านี่คือ การทำธุรกิจ ที่แต่ละองค์กรต่างก็ต้องแสวงหาผลกำไร การจ้างงานคนก็ย่อมต้องการผู้ที่จ้างแล้วคุ้มที่สุด นั่นแปลว่าบุคลากรที่เงินเดือนค่อนข้างสูง
บริษัทอาจคาดหวังว่าควรจะทำอะไรได้มากกว่าหน้าที่ประจำ อ ย่ างน้อยก็เพิ่มมาอีกสักอ ย่ างสองอ ย่ าง จะได้ไม่ต้องจ้างบุคลากรเพิ่มเพื่อลดต้นทุน เพราะการที่บริษัทต่าง ๆ นำ AI มาใช้กับธุรกิจก็เพื่อลดกำลังคน เนื่องจาก AI เป็นเทคโนโลยีที่ลงทุนแค่ครั้งเดียวแต่สามารถใช้งานได้หล า ยปี AI และไม่มีปากมีเ สี ยง
ในขณะที่แรงงานคนต้องจ่ายค่าจ้างทุกเดือน ทั้งประสิทธิภาพการทำงานของคนก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แน่นอน ต ามสภาวะจิตใจและสภาพแวดล้อม ทั้งยังจะมีปัญหากับการทำงานร่วมกับผู้อื่น นั่นหมายความว่า AI สามารถทำงานได้คุ้มทุนและรั ก ษ ามาตรฐานการทำงานได้ดีกว่าแรงงานคน
2. เรียนรู้ที่จะทำงานกับ AI
เมื่อประเมินความสามารถของตนเองแล้วพบว่าตัวเองยังเอาตัวรอ ดในยุคที่ AI ครองเมืองได้อยู่ จะดีกว่าไหมถ้าเราจะพย าย ามขึ้นอีกนิดเพื่อให้ทำงานร่วมกับ AI ได้อ ย่ างสงบสุข พูดง่ายก็คือ ไหน ๆ ก็คงห้ามบริษัทไม่ให้เอา AI มาทำงานไม่ได้ ก็ใช้ประโยชน์จาก AI เ สี ยเลย
จากการศึกษาของ Carl Benedikt Frey และ Michael A. Osborne นักวิจัยจากมหาวิทย าลัยออ กซฟอร์ดกล่าวว่า ข้ อจำกัดของ AI ที่ยังทำงานแทนคนในระยะเวลาอันใกล้นี้ไม่ได้ คือ งานที่ใช้ความละเอียดทางประสาทและการมองเห็น
งานที่ใช้ความสร้างสรรค์ความประณีต และงานที่ใช้ความฉลาดทางสังคม ในเมื่อเรารู้แล้วว่า AI ทำอะไรได้ไม่ได้ ก็ใช้ความสามารถของตนเองไปเติมเต็มจุดด้อยของมันซะ อ ย่ างน้อย ๆ เราก็ยังพอทำงานเป็นคู่หูกับ AI ได้
3. ฝึกใช้ความคิดให้มาก ๆ
อ ย่ างที่บอ กว่าข้ อได้เปรียบที่มนุษย์มีเหนือ กว่า AI คือ การทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดทางประสาทและการมองเห็น งานที่ใช้ความสร้างสรรค์ และงานที่ใช้ความฉลาดทางสังคม ถึง AI จะฉลาดมาก แต่ AI ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันทำงานต ามคำสั่งที่เราป้อนเข้าไป
ดังนั้น งานอะไรก็ต ามที่ยังต้องใช้อารมณ์ความรู้สึก ใช้ความละเอียดรอบคอบ ใช้ส ม อ งสร้างสรรค์อ ย่ างซับซ้อน งานที่มีประสิทธิภาพสูง ๆ หรือ การแก้ไขปัญหาแปลก ๆ ยังมีแค่มนุษย์ที่ (ศักยภาพสูง) ทำได้ คนกลุ่มนี้จึงมีโอกาสที่จะไปต่อได้อีกนานพอสมควร เพราะ AI ยังทำหน้าที่วิเ ค ร า ะ ห์ได้อ ย่ างละเอียดลึกซึ้งแทนคนไม่ได้ในอนาคตอันใกล้นี้
4. เตรียมตัวรับมือ
เป็นความคิดที่พื้นฐานที่สุดแล้ว เพราะทุกวันนี้ AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเรื่องที่จะรู้เฉพาะคนที่มีการศึกษาสูง ๆ อีกต่อไป เนื่องจากคนกลุ่มแรก ๆ ที่จะถูก AI แย่งงาน คือแรงงานฝ่ายผลิตในอุตสาหก ร ร มต่าง ๆ แม้จะฟังดูสิ้นหวังแต่เราต้องไม่หมดหวัง
ในเมื่อเราก็พอจะรู้แล้วว่า AI ฉลาดมากแค่ไหน และในอนาคตจะต้องฉลาดขึ้นอีกแน่นอน ถ้าประเมินรอบด้านแล้วรู้ว่ายังไงก็สู้เทคโนโลยีตัว AI ไม่ได้ คงต้องมองหาลู่ทางใหม่ หรือเตรียมแผนสำรองไว้ว่าถ้าวันใดเกิดตกงานขึ้น มากะทันหันจะทำอ ย่ างไร ซึ่งตอนนี้ยังพอมีเวลาให้คิดวางแผน จะได้ไม่จวนตัวนัก
5. พัฒนาทักษะและความสามารถ
ถึง AI จะฉลาด แต่ AI ก็เกิดขึ้น มาเพราะสติปัญญาของคน ฉะนั้น ยังไม่สายที่จะพัฒนาตัวเอง ถึงจะฉลาดเท่าหรือมากกว่าไม่ได้ (เพราะเป็นไปได้ย าก) แต่ก็ยังจะมีประโยชน์ต่อองค์กรมากกว่าคนที่ไม่คิดจะปรับตัวอะไรเลย ตัวอ ย่ างที่เราเห็นได้ชัดในปีนี้ ก็คือตลาดแรงงานได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
ทั้งผลพวงจากโ ร คร ะ บ า ดที่หล า ยคนต้องพักการทำงาน แต่ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็ไม่ได้หยุดพัฒนา และพร้อมที่จะขึ้น มามีบทบาทแทน มนุษย์ในอนาคตอันใกล้อีกทั้งการแข่งขันระหว่างธุรกิจในปัจจุบันก็ค่อนข้างสูง
เพราะต่างก็ต้องพยุงให้ธุรกิจตัวเองอยู่รอ ด การลดต้นทุนเป็นสิ่งแรกที่องค์กรจะทำ ทำให้บุคลากรที่มีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดก็เสี่ยงตกงานสูง จึงจำเป็นที่เราควรจะพัฒนาทักษะความสามารถของตนเอง อ ย่ างน้อยก็ควรจะพัฒนาในสิ่งที่ตนเองชอบหรือถนัดให้ได้บ้าง
เช่น ทักษะทางภาษาที่ 2 ที่ 3 ทักษะทางเทคโนโลยี (จะได้ใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับ AI ได้) ทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (เพราะ AI ไม่มีสังคมเหมือน มนุษย์) ทักษะในการคิดวิเ ค ร า ะ ห์ การรับมือปัญหาที่ซับซ้อน เป็นต้น
ที่มา bottomlineis forlifeth