วันนี้เราอย ากที่จะพาเพื่อนๆ ไปเรียนรู้ข้อคดการเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนเก่งใช้ชีวิตเป็น กับบทความ แม้จะร่ำร ว ย ก็ต้องเลี้ยงลูกให้รู้จักความลำบาก ไปดูกันว่าจะต้องเลี้ยงลูกอย่ างไรบ้าง
ในวันนั้นผมได้พาลูกไปร้านเครื่องเขียนแห่งหนึ่ง ลูกของผมอย ากได้กล่องดินสอ มองหน้าพ่อ แล้วบอ กว่าอย ากได้แบบนี้ แบบนี้ ลูกของผมเลือ กแบบหรูหรา แต่ผมให้ซื้ อแค่แบบธรรมดา ที่ใช้งานได้เหมือนกัน ลูกทำหน้างอทันที ร้องอย ากได้ไม้บรรทัดก็อย ากได้แบบสวยงาม แต่ผมก็ให้เลือ กแบบ แค่พื้นฐานใช้งานได้เหมือนกัน เพียงเท่านั้น ลูกก็ทำหน้าหงิกหน้างอเข้าไปอีก ผมไม่ได้ว่าอะไรตั้งใจก่อนนอนคืนนี้
จะชี้แนะลูกด้วยการเล่านิทานเปรียบเปรยให้เข้าใจ หลังจากได้เป็นพ่อคนแล้ว ผมตั้งใจจะเลี้ยงลูก ไม่ให้เหมือนแบบที่ช าวเอเชียเขานิยมทำกัน ที่มักไม่ยอมให้ลูกลำบาก ดูแลปกป้องแบบไข่ในหิน ประคบประหงมเกินพอ ดี หล า ยปีผ่านไป ผมรู้สึกว่าวิธีการเลี้ยงลูกของผม จะลำบากมากขึ้นทุกวัน จนกระทั้งวันหนึ่ง ผมได้อ่า นจดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่ง ที่โพสต์ลงในบอร์ดของมหาวิทย าลัยนานกิง จดหมายจากผู้ใช้นานว่า’ พ่อผู้ขมขื่น’ เขียนถึงลูกเขาที่เป็นนักศึกษา

ในมหาวิทย าลัยนั้น แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อลูก จดหมายฉบับนี้ มีคุณค่ามาก ในสายต าของผม ถึงลูกรักของพ่อ แม้ลูกจะทำให้พ่อทุ ก ข์ใจเกินบรรย าย แต่ลูกก็ยังเป็นลูกของพ่ออยู่วันยังค่ำ หลังจากที่ลูกสามารถสอบเข้ามหาวิทย าลัยได้แล้ว อาจเป็นเพียงคนเดียว ของตระกูลเราในรอบหล า ยชั่ วอายุคน ที่ทำได้สำเร็จหลังจากนั้น พ่อชักไม่แน่ใจว่า ตกลงใครเป็นพ่อ และใครเป็นลูกกันแน่ ต่อมลูกหมากของผม ลดลง 3 เท่าเมื่อลองทำวิธีรั ก ษ า วิธีนี้พ่อช่วยแบกสัมภาระ ไปส่ งลูกถึงหอพักช่วยกางมุ้งปูที่นอน
ซื้ อ กับข้าวกับปลา ต้องสอนแม้กระทั่งวิธีบีบย าสีฟั นออ กจากหลอ ดทั้งหล า ยทั้งปวง ดูเหมือนว่ามันเป็นหน้าที่ที่พ่อสมควรต้องทำให้ ไม่ได้ยินคำว่าขอบคุณสักคำจากลูก ตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกด้วยซ้ำว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ ที่พ่อผู้ด้อยความสามารถคนนี้ มีโอกาสได้รับใช้ลูกทูนหัว ที่บัดนี้ได้เป็นนักศึกษาผู้ทรงเกียรติไปแล้วปีแรก
ทั้งปีที่บ้าน ได้รับจดหมายจากลูกสามฉบับ ข้อความรวมกันแล้ว อาจย าวกว่าข้อความในโทรเลขหนึ่งฉบับสักหน่อย ข้อความย่นย่อล า ยมือ หวัดอ่า นย ากมีแต่คำว่า’ เงิ น’ นี่ตั้งใจเขียนได้ชัดเจนที่สุด พอขึ้นปีที่สอง จดหมายมาแบบถี่ๆ ล้วนขอเงิ นเพิ่ม ลีลาการเร่งเร้าให้ส่ งเงิ น ข้อความที่เรียกร้องความเห็นใจ รับรู้ได้ถึงว่า หากเรียนจบแล้ว ลูกสามารถ ไปยึดอาชีพเป็นพวกเจ้าหน้าที่เร่งรัดห นี้สินได้เยี่ยมแน่นอน
แต่สิ่งที่ทำให้พ่อเ จ็ บป ว ดที่สุดนั้น มาจากการที่ลูกอาจหาญ ถึงขั้นปลอมแปลงตัวเลขจำนวนเ งินที่ต้องจ่ายค่าหน่วยกิตของมหาวิทย าลัย ไม่คิดว่าลูกจะใช้วิธีนี้มาหลอ กลวงเงิ นทอง จากผู้เป็นพ่อแม่ ที่ให้กำเนิดเลี้ยงดู รักใคร่ลูกมาตลอ ด เพียงเพื่ออย ากได้เงิ นเพิ่มไปเที่ยวผับ เที่ยวบาร์และร้องคาราโอเกะ คิดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ ก็เ จ็ บป ว ดเมื่อนั้นนอนไม่หลับ จนกล า ยเป็นโ รคซึมเศร้า
สาเหตุก็มาจากลูกคนที่พ่อเลี้ยงดู ด้วยมือจนเติบใหญ่แต่กลับ กล า ยเป็นคนแปลกหน้า ในร่างของนักศึกษาขอภาวนาในใจว่า นอ กจากวิช าความรู้ต่างๆ ที่ลูกจะเรียนรู้ จากสถาบันการศึกษาแล้ว ลูกจะกรุณาพัฒนาจิตใจให้เป็นคนซื่อสัตย์และ กตัญญูรู้คุณด้วยก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หลังจากได้อ่ านจดหมายฉบับนี้แล้ว ผมรู้สึกว่า ผมยังต้องเดินหน้าทำต ามนโยบาย
ในการดูแลลูกต ามที่ตั้งใจไว้ แต่แรกแม้จะรู้ว่ามันค่อนข้างลำบากในสังคมของเรา มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนสมัยเรียน ที่ย้ายไปออสเตรเลียกลับมาเยี่ยมบ้าน มีโอกาสได้นั่งคุยกัน เขาเล่าว่าคนออสเตรเลีย นอ กจากเชื่อถือในพระเจ้าแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเชื่อมั่น ก็คือวิธีการเลี้ยงลูกแบบ’ จะร ว ยแค่ไหน ก็ต้องเลี้ยงลูกแบบจน’ พวกเขาเชื่อว่า เด็กที่เติบโตขึ้น มา ภายใต้การดูแล

ปกป้องมากไปของพ่อแม่ เมื่อโตแล้วจะไม่มีปัญญาที่สามารถยืนอยู่บนลำแข้งตัวเอง และก็จะไม่มีวันสำนึกบุญคุณคนอื่น แม้กระทั่งพ่อแม่ตนก็ต าม วันถัดมา เรามีโอกาสออ กไปทำธุระด้วยกัน เจอฝนระหว่างทาง เขาเห็นเด็กน้อย ถูกห่อหุ้มด้วยผ้านวมอย่ างหนากลมไปหมด ทั้งตัวจนดูคล้าย ‘ ลูกบอลยัดนุ่น’ เขาบอ กว่า’ เด็กควรจะใส่เสื้อผ้าน้อยกว่าผู้ใหญ่หน่อย’ เขาเล่าว่าในออสเตรเลีย แม้หน้าหนาว ก็จะไม่เห็นเด็กที่ถูกห่อแบบ’ ลูกบอลยัดนุ่น’ เหมือนที่เห็น
หรือในวันแดดจ้า แม้เด็กจะนั่งอยู่ในรถเข็นเด็ก แต่คนเป็นแม่ ก็จะทำใจแข็ง ไม่ยอมดึงที่บังแดดออ กมากันแดดให้ลูก เด็กที่วิ่งเล่นแล้วหกล้มเอง พ่อแม่ก็จะยืนดูเฉยๆให้ลูกลุกขึ้น มาด้วยตัวเขาเอง ต่างๆนาๆ ล้วนพย าย า มให้ลูกฝึกช่วยตัวเอง และอ ดทนให้มากที่สุด ธรรมเนียมของครอบครัวช าวเอเชียอย่ างพวกเรา หลักการที่ยึดติดมานาน กับนโยบายที่ว่า ‘ จะย ากจนแค่ไหนก็ไม่ยอมให้ลูกต้องลำบาก’ สงสัยจะถึงเวลาต้องทบทวนกันใหม่ได้แล้ว การเลี้ยงลูกของสัต ว์ทั้งหล า ยในโลกนี้ ตอนลูกยังเล็กและอ่อนแอ บางชนิดอมลูกไว้ในปาก บางชนิดซุกลูกไว้ใต้ปีก
กลัวลูกๆจะไม่ปลอ ดภั ยแต่พอลูกเริ่มโตได้ที่แล้ว พวกเขาจะไล่ลูกออ กไปอย่ างไร้เยื่อใย ให้ลูกไปเผชิญกับโลกภายนอ กเอง ไปฝึกวิทย ายุทธเอง ไปเผชิญปัญหา และมรสุมทุกรูปแบบ แล้วชีวิตจะไม่เจอทางตันเห็นหรือยังว่า แม้แต่สั ตว์ทั้งหล า ย ก็ยังรู้ถึงหลักการที่ว่า ‘ โอ๋ลูกจนไม่ลืมหูลืมต า ก็คือ การฆ่ าลูกแบบเลื อ ดเย็น’
‘ จะร ว ยแค่ไหน ก็ต้องเลี้ยงลูกแบบจน’ ด้วยวิธีนี้จะบังคับให้ลูกๆทั้งหล า ยรู้จักยืนอยู่บนลำแข้งตัวเอง และรู้จักสำนึก และตอบแทนบุญคุณคนเป็นพ่อเป็นแม่ สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืม ถึงแม้คุณจะห่วงด้วยวิธีปกป้อง หรือโอ๋ลูกขนาดไหนก็ต ามคุณคงไม่มีปัญญา ต ามไปวุ่นวาย หรือ ดูแลพวกเขาในช่วงครึ่งหลังของชีวิตเขา เพราะตอนนั้นคงได้เวลาที่คุณจะได้หลับย าวไปแล้ว
ที่มา ขจรศักดิ์, stand-smiling
